แบรนด์ พัง ชั่วข้ามคืน

  • ปี 2017  D&G ทำรายได้ไปกว่า 1.29  พันล้านยูโร ซึ่ง 25% ของรายได้มาจากเอเชีย
  • กว่า 1 ใน 3 ของยอดขายสินค้าแบรนด์เนมทั่วโลก มาจาก “ประเทศจีน”
  • แต่โฆษณาเพียงตัวเดียวทำให้เกิดการต่อต้านแบรนด์ครั้งใหญ่
    ทำให้ตัวเลข Brand Health ลดลงอย่างเป็นประวัติการณ์ จาก +3.3 เหลือ -11.4

Diversity ความต่างไม่ใช่เรื่องแปลก

เพราะโลกไม่ได้มีคนแค่เพียงแบบเดียว การแสดงความแตกต่างเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นสีผิว รูปร่าง หรือความเชื่อ

การไม่เคารพทางวัฒนธรรม

การสร้างศิลปะด้วยแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมต่างชาตินั้นเป็นเรื่องปกติ
แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” เพื่อไม่ให้ล้ำเส้นเจ้าของวัฒนธรรม

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ D&G ถูกลูกค้าชาวจีนต่อว่า
แคมเปญ DG loves China โดยทีมช่างภาพ Morelli brothers
ซึ่งจะเป็นเซ็ตภาพที่ใช้โปรโมทแบรนด์ D&G ในประเทศจีน ก็ได้รับผลกระทบที่ไม่ดีมาแล้วว่า

  • ทำให้ประเทศจีนดูราคาถูก
  • ไม่มีความเป็นจีนสมัยใหม่
  • แฝงความเหยียดสังคมจีน

ผลกระทบย่อมแรงกว่า

เพราะโลกเราเชื่อมต่อกันได้ไวขึ้น ข้อมูลข่าวสารจึงถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว และ Online & Offline เชื่อมถึงกันเสมอ

  • งานแฟชั้นโชว์ที่เซี่ยงไฮ้ถูกยกเลิกทันที รวมถึงการ Boycott จากดาราชื่อดัง
  • มีการโพสต์ “Boycott Dolce – คว่ำบาตร Dolce” กว่า 18,000 ครั้งบน Weiboและติดอันดับการเสิร์ชสูงสุดบนโซเชียลมีเดีย

การให้คำตอบที่ไม่จริงใจจากแบรนด์

เมื่อเกิดปัญหาแบรนด์เลือกวิธีรุนแรง ไม่เข้าใจในแก่นของปัญหา
และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ไม่จริงใจ จึงทำให้ผลลัพท์ยิ่งรายแรงกว่าเดิม

  • หลังจากถูกแฉมากมาย Stefano Gabbana ได้ออกมาชี้แจงถึงถ้อยคำดูถูกที่เค้าพิมพ์โต้ตอบทั้งหลายนั้น “ถูกแฮก”
  • “คำว่า Not Me ของ Stefano ถูกชาวเน็ทจีนนำไปล้อเลียนต่ออย่างไร้ความเชื่อถือ”

ผลลัพท์คือความเงียบเหงา

แบรนด์เปลี่ยนจากแบรนด์ที่ลูกค้ารัก และชื่นชม กลายเป็นความเกลียดชัง ไม่สนับสนุน ปกป้องแบรนด์นี้อีกต่อไป