เจาะลึกเครือ LVMH ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจที่มีเกือบแปดสิบแบรนด์สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคงและมีอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละแบรนด์

มีการวิเคราะห์มากมายเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ตลาดสินค้าแบรนด์เนมและของหรูหราฟุ่มเฟือยกลับมาบูมถึงแม้ว่าทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปรากฎการณ์ Pent up demand หรือความต้องการขอผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังหยุดจับจ่ายใช้สอยไปนานในช่วงโควิด ทั้งนี้ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะกลุ่มเป้าหมายของสินค้าประเภทนี้มักเป็นคนกระเป๋าหนักหรือเศรษฐีที่สามารถกลับมาฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้เร็ว ทำให้ลูกค้าของสินค้าแบรนด์เนมกลับมาชอปปิ้ง กินดื่ม และท่องเที่ยวอย่างอิสระ มีการคาดการณ์ว่าตลาดสินค้าหรูหราจะเติบโตขึ้นจนมีมูลค่า 3.55 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2023 โดยในปี ค.ศ. 2022 มีรายงานว่าเครือบริษัทมหาชนสัญชาติฝรั่งเศสอย่าง LVMH ซึ่งมีแบรนด์ถึง 75 แบรนด์อยู่ภายใต้การบริหาร เช่น LOUIS VUITTON, CHRISTIAN DIOR, GIVENCHY, FENDI, MARC JACOBS, LOEWE, BENEFIT, BVLGARI, CÉLINE, SEPHORA  เป็นต้น มีรายได้สูงถึง 8.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคิดเป็นกำไรถึง 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 26% ของรายได้ทั้งหมด และกระแสเงินสดหมุนเวียนสูงถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ Bernard Arnault เจ้าของและ CEO ของ LVMH กลายมาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แซงหน้า Elon Musk หรือแม้แต่ Bill Gates

.

ปัจจุบันรายได้ของ LVMH มาจากธุรกิจในกลุ่มสินค้าแฟชั่นและเครื่องหนัง (49%) อสังหาริมทรัพย์ประเภทห้างและร้านค้าปลีก (19%) นาฬิกาและเครื่องประดับ (13%) น้ำหอมและเครื่องสำอาง (10%)  ธุรกิจไวน์และเครื่องดื่ม (9%) และอื่น ๆ เช่น สำนักข่าว เรือสำราญ ร้านเบเกอรี รีสอร์ต และสวนสนุก เป็นต้น จากการวิเคราะห์จากหลายแหล่งที่มาพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจที่มีเกือบแปดสิบแบรนด์สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคงและมีอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละแบรนด์ เป็นเพราะ LVMH กระจายอำนาจให้แต่ละแบรนด์สามารถดำเนินงานได้อย่างเป็นอิสระต่อกันและเน้นกลยุทธ์บูรณาการในแนวดิ่งไปพร้อมกับการที่ LVMH เลือกกระจายความเสี่ยงโดยการเลือกลงทุนและมีธุรกิจในมือที่หลากหลาย ทำให้องค์กรไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินจากธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากจนเกินไป นอกจากนี้ในเชิงรายละเอียดจะพบว่า LVMH มักถือครองให้ความสำคัญกับการพัฒนาและสืบทอดช่างฝีมือซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในงานของตนเองจากรุ่นสู่รุ่น ในขณะที่บุคลากรฝั่งงานออกแบบดีไซน์มีอิสระและพื้นที่ในการทดลองและสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ฝั่งการผลิตและธุรกิจก็ประสบความสำเร็จในการเจาะกลุ่มตลาดที่ต้องการและสื่อสารเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอันยาวนานของแต่ละแบรนด์ได้อย่างไม่มีที่ติ ทำให้ไม่เพียงสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าแก่ได้อย่างมั่นคง แต่ยังสามารถดึงดูดใจลูกค้าหน้าใหม่และรุ่นใหม่เข้าหาแบรนด์ได้อย่างต่อเนื่อง ดังคำกล่าวของ Bernard Arnault ที่ว่า “Luxury for me is how you can create desire.” หรือความหรูหราก็คือเรื่องราวของการสร้างความปรารถนาให้เกิดขึ้นในใจของลูกค้านั่นเอง

.

อย่างไรก็ตาม LVMH และอีกหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เน้นตลาดกลุ่มหรูหรากำลังทรัพย์สูงอาจต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายรูปแบบในอนาคต ทั้งข้อเรียกร้องซึ่งหลายประเทศทั่วโลกทั้งภาครัฐและประชาชนที่กำลังให้ความสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวไม่เฉพาะแค่ในมิติของความยั่งยืนแต่รวมไปถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ ภาวะกดดันใชเชิงภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเรื่องการขนส่งและห่วงโซ่อุปทาน การเข้ามาของเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติและเครื่องจักรกลอัตโนมัติที่อาจเข้ามาท้าทายงานฝีมือของช่างมนุษย์ แนวโน้มความนิยมของผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจดิจิทัลและเมตาเวิร์สซึ่งกำลังบังคับให้แบรนด์ลักชูรีต้องปรับตัวและหาที่ทางในเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ กำลังซื้อของผู้บริโภคที่จะเริ่มโอนย้ายไปยังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน และการให้คุณค่าเรื่องความหรูหราของผู้บริโภคเจเนอเรชัน Z ลงไปซึ่งเริ่มลดทอนการให้คุณค่ากับของใช้ฟุ่มเฟือยแต่ไปเน้นที่วิถีชีวิตที่เรียบง่ายและไม่ประดิษฐ์มากขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีรายงานการวิเคราะห์ว่า Bernard Arnault ในวัย 73 ปีกับมรดกเป็นสินทรัพย์มูลค่า 1.96 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐและอาณาจักร LVMH อาจต้องเผชิญกับปัญหาการคัดเลือกและแบ่งสรรมรดกให้กับทายาททั้ง 5 ของเขาในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย

.

ขอบคุณที่มา

https://www.statista.com/outlook/cmo/luxury-goods/worldwide

https://www.lvmh.com/investors/profile/financial-indicators/#groupe

https://r.lvmh-static.com/uploads/2023/01/press-release-lvmh-2022-fy-results.pdf

https://www.investopedia.com/articles/personal-finance/091115/psychology-behind-why-people-buy-luxury-goods.asp

https://www.bloomberg.com/graphics/2023-bernard-arnault-louis-vuitton-moet-hennessy-succession/