อินโดนีเซียกับสินค้านำเข้าหลักปี 2025: มุมมองสำหรับแบรนด์ไทยที่ สนใจ Global Market อินโดนีเซียคือเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่ทั่วโลกจับตา มองอย่างใกล้ชิด ในปี 2024 เพียงปีเดียว อินโดนีเซียสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มูลค่ากว่า 2.02 ล้านล้านบาท (55.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นถึง 21% จากปีก่อนหน้า โดยมีสิงคโปร์ จีน ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ลงทุนหลัก

ตัวเลขการนำเข้าของอินโดนีเซียในปี 2025 ชี้ชัดว่าเศรษฐกิจขนาดใหญ่นี้ยังคงพึ่งพาต่างประเทศอย่างมาก และนี่คือสัญญาณของโอกาสสำหรับแบรนด์ที่ต้องการก้าวสู่ Global Brand

ตั้งแต่พลังงาน เครื่องจักร เทคโนโลยี ไปจนถึงอาหาร การนำเข้าที่สูงต่อเนื่องสะท้อนทั้ง “ความท้าทาย” และ “ช่องว่างที่รอการเติมเต็ม” ซึ่งกำลังเปิดโอกาสใหม่ให้กับผู้ประกอบการและแบรนด์ต่างประเทศที่พร้อมจะก้าวสู่การเป็น Global Brand

อินโดนีเซียคือเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่ทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด ในปี 2024 เพียงปีเดียวอินโดนีเซียสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มูลค่ากว่า 2.02 ล้านล้านบาท (55.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นถึง 21% จากปีก่อนหน้า โดยมีสิงคโปร์ จีน ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ลงทุนหลัก และเมื่อรวมกับการลงทุนภายในประเทศ มูลค่าการลงทุนรวมแตะ 3.83 ล้านล้านบาท (105 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ส่งผลให้อินโดนีเซียติดอันดับที่ 17 ของโลก ในแง่ประเทศที่ได้รับ FDI สูงที่สุด

แม้จะเผชิญความท้าทายด้านการเมือง อินโดนีเซียยังคงผลักดันนโยบายเศรษฐกิจและความร่วมมือในกรอบอาเซียนและ G20 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ตลาดนี้เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ประกอบการและแบรนด์ต่างประเทศ โดยเฉพาะ แบรนด์ไทย ที่สามารถใช้จุดแข็ง อาทิด้าน นวัตกรรม เทคโนโลยี คุณภาพ หรือความเข้าใจผู้บริโภค เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์ตลาดขนาดใหญ่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Top 10 สินค้านำเข้าหลักของอินโดนีเซีย ปี 2025 โอกาสสำหรับแบรนด์ไทย บันไดสู่ Global Brand

อันดับ 1 เชื้อเพลิงแร่ รวมถึงน้ำมัน (Mineral fuels, including oil) : 40.1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.44 ล้านล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 18.1%)

แม้อินโดนีเซียจะเป็นผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ แต่ตัวเลขการนำเข้าที่สูงถึงกว่า 40 พันล้านดอลลาร์ บอกเราว่า เศรษฐกิจของประเทศนี้ยังขับเคลื่อนด้วยพลังงานเป็นหัวใจหลัก และการผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอต่อความต้องการจริง นี่สะท้อน Pain Point ใหญ่เรื่อง เสถียรภาพด้านพลังงาน ที่ยังไม่ยั่งยืน และในขณะเดียวกันก็เป็น “ช่องทาง” หรือโอกาสสำคัญให้กับธุรกิจและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน, ระบบประหยัดพลังงาน (Energy Efficiency) และนวัตกรรมสีเขียว (Green Innovation) ให้เข้ามามีบทบาทในการช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานในระยะยาว

อันดับ 2 เครื่องจักร รวมถึงคอมพิวเตอร์ (Machinery including computers) : 32.2 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.16 ล้านล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 14.5%)

การที่อินโดนีเซียนำเข้าเครื่องจักรและคอมพิวเตอร์กว่า 32 พันล้านดอลลาร์ (คิดเป็น 14.5% ของการนำเข้าทั้งหมด) เป็นสัญญาณชัดเจนว่าประเทศกำลัง เร่งยกระดับอุตสาหกรรมเพื่อก้าวสู่ยุค ออโตเมชันและดิจิทัล ด้วยเหตุนี้ ตลาดจึงเปิดกว้างสำหรับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Smart Factory, Automation และ Industrial Solutions ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่แบรนด์ไทยจะเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ได้ไม่ยาก

อันดับ 3 เครื่องจักรไฟฟ้าและอุปกรณ์ (Electrical machinery and equipment) : 25.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 929,000 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 11.6%)

กว่า 25 พันล้านดอลลาร์ ของการนำเข้าที่หมวดนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของอินโดนีเซียไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย เทคโนโลยีไฟฟ้าและดิจิทัล อย่างชัดเจน ตั้งแต่โครงการ Smart City ไปจนถึงการเติบโตของตลาด รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าความต้องการอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ IoT (Internet of Things), Smart Energy และ Electronic Components จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

อันดับ 4 เหล็กและเหล็กกล้า (Iron, steel) : 11.4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 410,000 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 5.1%)

การที่อินโดนีเซียนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าในมูลค่าสูงถึง 11.4 พันล้านดอลลาร์ (5.1% ของการนำเข้าทั้งหมด) สะท้อนภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน การนำเข้าเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรองรับเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ของรัฐบาล เช่น เมืองหลวงใหม่ “นูซันตารา” และโครงการคมนาคมขนส่งต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึง การเติบโตของการก่อสร้างภาคเอกชน เช่น อาคารพาณิชย์ โรงแรม ที่พักอาศัย รวมถึงการ ซ่อมแซมและปรับปรุง (Renovation) โครงสร้างอาคารเก่าเพื่อตอบสนองความต้องการในเมืองใหญ่

อันดับ 5 ยานพาหนะ (Vehicles) : 10.2 พันล้านดอลลาร์ หรือ 367,000 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน4.6%)

การนำเข้ายานพาหนะกว่า 10 พันล้านดอลลาร์บ่งชี้ถึงกำลังซื้อของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังสอดคล้องกับกระแสยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังมาแรงในตลาดอินโดนีเซีย

อันดับ 6 พลาสติกและผลิตภัณฑ์จากพลาสติก (Plastics, plastic articles) : 9.4 พันล้านดอลลาร์หรือ 338,000 ล้านบาท (คิดเป็นส้ดส่วน 4.2%)

มูลค่ากว่า 9 พันล้านดอลลาร์ชี้ว่าพลาสติกยังคงเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมและการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่แรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมก็กำลังผลักดันให้เกิดการมองหาวัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อโลก

อันดับ 7 สารเคมีอินทรีย์ (Organic chemicals) : 6.4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 230,000 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 2.9%)

สารเคมีอินทรีย์มูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์เป็นวัตถุดิบหลักของหลายอุตสาหกรรม เช่น ยา ปุ๋ย และสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่มั่นคงในภาคการผลิตพื้นฐาน

อันดับ 8 ธัญพืช (Cereals) : 6.0 พันล้านดอลลาร์ หรือ 216,000 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 2.7%)

แม้จะเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่อินโดนีเซียยังต้องนำเข้าธัญพืชกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะข้าวสาลีที่เป็นวัตถุดิบสำคัญของอาหารยอดนิยม แสดงให้เห็นถึงประเด็นด้านความมั่นคงทางอาหารของประเทศ

อันดับ 9 ผลิตภัณฑ์จากเหล็กหรือเหล็กกล้า (Articles of iron or steel) : 4.3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 155,000 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 2.0%)

มูลค่ากว่า 4 พันล้านดอลลาร์เป็นการนำเข้าที่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของการก่อสร้างและการผลิต ซึ่งเติบโตไปพร้อมกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

อันดับ 10 ของเสียจากอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ (Food industry waste, animal fodder) : 4.3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 155,000 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 1.9%)

การนำเข้าที่มีมูลค่ากว่า 4 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนการขยายตัวของภาคการเกษตรและปศุสัตว์ในอินโดนีเซีย ความต้องการอาหารสัตว์และวัตถุดิบที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ยังคงเพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับการบริโภคโปรตีนและอาหารแปรรูปภายในประเทศ

ภาพ : https://reccessary.com/data/editor/images/Indonesia2.jpeg

มุมมองสำคัญจากโครงสร้างการนำเข้าของอินโดนีเซีย: โอกาสสำหรับแบรนด์ไทย

(1) แบรนด์ที่ตอบโจทย์ ‘การเติบโตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’

โครงสร้างการนำเข้าที่พึ่งพาเชื้อเพลิงและวัตถุดิบอย่าง เหล็กและพลาสติก สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่สูงขึ้นจากเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นี่คือสัญญาณสำคัญที่ตลาดมองหาแบรนด์ที่มีคุณค่าด้าน โซลูชันพลังงานสะอาด (Clean Energy Solutions), เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (Energy Efficiency) และ นวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Building Materials) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและความยั่งยืน

(2) แบรนด์ที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมสู่ยุคดิจิทัล

การนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีสัดส่วนรวมกันสูงกว่า 26% เป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงการเร่งยกระดับอุตสาหกรรม (Industrial Modernization) และการลงทุนใน โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) ซึ่งเปิดรับการเข้ามาของแบรนด์ที่มีนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นระบบอัตโนมัติ (Automation Systems), โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory Solutions) และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0 Technology) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต

(3) แบรนด์ที่ช่วยยกระดับความมั่นคงทางอาหารและคุณภาพการผลิต

การนำเข้าธัญพืชและวัตถุดิบอาหารสัตว์อย่างต่อเนื่องในมูลค่ามหาศาล สะท้อนถึงวาระสำคัญด้าน ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และการขยายตัวของภาค ปศุสัตว์ (Livestock Industry) องค์ความรู้ด้าน นวัตกรรมอาหาร (Food Innovation), อาหารสัตว์คุณภาพสูง (High-Quality Animal Feed) และ เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ (Agri-tech) จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอินโดนีเซียในระยะยาวได้เป็นอย่างด

#baramizi #globalbrandreport #อินโดนีเซีย #globalbranding #globalbrand #Brandmanagement #Internalbrand #Externalbrand #stock #indonesia
.
————————————
.
📍ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
โทร.088-2236546 (คุณเอม)
อีเมล : Sutthinee.b@baramizi.co.th