ในระบบเศรษฐกิจที่เริ่มอิ่มตัว การเติบโตที่แท้จริงไม่ได้มาจากการขยายสาขาหรือเพิ่มไลน์สินค้าอีกต่อไป แต่ต้องขยายสู่ “ตลาดเกิดใหม่ในต่างประเทศ” ที่เปิดโอกาสให้แบรนด์สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในยุคที่ต้นทุนการผลิตไม่ใช่ข้อได้เปรียบหลัก การแข่งขันทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกจึงถูกวัดกันที่ “คุณค่าของแบรนด์” มากกว่าราคา และนั่นทำให้การ “ส่งออกแบรนด์” กลายเป็นเป้าหมายสำคัญยิ่งกว่าการส่งออกสินค้า
แบรนด์ที่เติบโตในยุคนี้ไม่ได้แข่งขันแค่คุณภาพและราคา แต่ต้องสามารถเข้าถึงตลาดที่เปิดกว้างและมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์เติบโตและขยายสู่ระดับภูมิภาคอย่างมั่นคง และก้าวสู่การเป็น Global Brand ในอนาคต
การวางรากฐานแบรนด์ไทยในต่างประเทศจึงต้องเริ่มจากตลาดที่ยังเปิดช่องว่างอย่างแท้จริงสำหรับแบรนด์ใหม่ในการสร้างบทบาทและความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ และอินโดนีเซียคือหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจและศักยภาพเติบโตสูง ซึ่งพร้อมเปิดโอกาสให้แบรนด์ไทยก้าวขึ้นสู่เวทีระดับภูมิภาคได้อย่างมั่นคง
โดยเฉพาะในภาคการก่อสร้าง การพัฒนาเมือง และโครงการระยะยาวของรัฐ ที่กำลังขยายตัวเชิงโครงสร้างอย่างเข้มข้น อินโดนีเซียจึงไม่ใช่แค่ตลาดขนาดใหญ่ แต่เป็น “พื้นที่ยุทธศาสตร์” ที่เปิดโอกาสให้แบรนด์วางจุดยืนตั้งแต่ต้นในระบบเศรษฐกิจที่ยังมีพลวัตสูง และเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับขยายการเติบโตของแบรนด์
ศักยภาพตลาดก่อสร้างของอินโดนีเซีย
อุตสาหกรรมก่อสร้างถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วนใน GDP ของประเทศอยู่ที่ประมาณ 10-11% และยังคงเป็นแกนหลักของการลงทุนและการพัฒนาเมือง
สำหรับปี 2025-2026 แนวโน้มการเติบโตของภาคการก่อสร้างยังคงแข็งแกร่ง โดยคาดว่า GDP จะขยายตัวจากประมาณ 5.1 ล้านล้านบาท (2.22 ล้านล้านรูเปียห์) ในปี 2024 เป็น 5.46 ล้านล้านบาท (2.37 ล้านล้านรูเปียห์) ในปี 2025 และจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 5.84 ล้านล้านบาท (2.54 ล้านล้านรูเปียห์) ในปี 2026 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยราว 7.2% ต่อปี
ตัวเลขดังกล่าวตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญของภาคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2025 ที่คาดว่า GDP ภาคการก่อสร้างจะมีสัดส่วนประมาณ 10.6% เมื่อเทียบกับ GDP รวมของอินโดนีเซียทั้งหมดที่ประมาณ 53.88 ล้านล้านบาท (22.45 ล้านล้านรูเปียห์) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ทรงพลังอย่างแท้จริง
วิเคราะห์โครงสร้างตลาด: ภาคส่วนใดขับเคลื่อนการเติบโตมากที่สุด?
นอกจากตัวเลข GDP ที่แสดงภาพรวมของภาคก่อสร้างแล้ว “มูลค่าของงานก่อสร้างที่แล้วเสร็จ” (Value of Works Completed) ยังถือเป็นดัชนีสำคัญที่สะท้อนระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะในแง่ของโครงการที่ดำเนินงานและส่งมอบแล้ว ซึ่งช่วยให้เห็นว่าเม็ดเงินลงทุนได้แปรรูปเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จับต้องได้มากน้อยเพียงใด
ในปี 2023 อินโดนีเซียมีมูลค่างานก่อสร้างที่แล้วเสร็จรวมกว่า 3.91 ล้านล้านบาท (1.63 ล้านล้านรูเปียห์) ซึ่งแสดงถึงระดับกิจกรรมที่ยังคงแข็งแรงในภาคนี้
โดยแบ่งตามประเภทงานได้ดังนี้:
• งานวิศวกรรมโยธา (Civil Engineering): มีมูลค่าสูงสุดที่ประมาณ 2.23 ล้านล้านบาท (930.82 ล้านล้านรูเปียห์)
• งานก่อสร้างอาคาร (Construction of Buildings): มูลค่าประมาณ 1.31 ล้านล้านบาท (544.27 ล้านล้านรูเปียห์)
• งานก่อสร้างเฉพาะทาง (Specialized Construction Activities): มูลค่าประมาณ 0.36 ล้านล้านบาท (151.23 ล้านล้านรูเปียห์)
สัดส่วนดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า งานวิศวกรรมโยธา (Civil Engineering) เช่น ถนน ทางด่วน เขื่อน และโครงข่ายสาธารณูปโภคพื้นฐาน มีบทบาทสูงที่สุดในตลาดก่อสร้างของอินโดนีเซีย คิดเป็นประมาณ 57% ของมูลค่าก่อสร้างทั้งหมด สะท้อนถึงทิศทางการลงทุนที่เน้นโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายเร่งรัดของภาครัฐ เช่น โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการพัฒนาเมืองหลวงใหม่อย่าง Nusantara
📈 ปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโต
1. การเติบโตของประชากรและเมือง
ด้วยจำนวนประชากรกว่า 283 ล้านคน อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดตลาดภายในใหญ่ที่สุดในอาเซียน ความต้องการที่อยู่อาศัย โครงสร้างพื้นฐาน และระบบขนส่งในเขตเมืองจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2. โครงการขนาดใหญ่ของรัฐ
โครงการสำคัญอย่าง Nusantara Capital City ซึ่งเป็นการย้ายเมืองหลวงจากจาการ์ตาไปยังเกาะกาลิมันตัน ถือเป็นตัวเร่งสำคัญของการลงทุนในระบบสาธารณูปโภค พื้นที่พัฒนาใหม่ และงานก่อสร้างประเภทวิศวกรรมโยธา
3. การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และนโยบายรัฐ
หลังการชะลอตัวในช่วงโควิด ภาคเอกชนกลับมาลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเมืองหลัก ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายรัฐที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs) และโครงการขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค
4. การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
ในปี 2024 อินโดนีเซียได้รับ FDI รวมมูลค่าประมาณ 2.02 ล้านล้านบาท (55.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า
โดยประเทศผู้ลงทุนหลัก ได้แก่ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา เมื่อรวมกับการลงทุนภายในประเทศ อินโดนีเซียมีมูลค่าการลงทุนรวมในปีเดียวกันกว่า 3.83 ล้านล้านบาท (105 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ส่งผลให้อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับ FDI สูงสุด อันดับที่ 17 ของโลก
โอกาสของแบรนด์ไทยมีอะไรบ้าง ?
1. โอกาสของตลาดมืออาชีพแขนงต่างๆ เพราะอินโดต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านอาคารเขียวอีกจำนวนมาก
2. โอกาสของวัสดุตกแต่งก่อสร้างด้าน Green Building เป็นที่ต้องการและยังมีแนวโน้มเติบโตไปอีกหลายปี
3. โอกาสในการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับผู้รับเหมา ผู้พัฒนา และซัพพลายเออร์ที่มุ่งเน้นอาคารเขียว
“ภาคก่อสร้างของอินโดนีเซียกำลังเติบโตอย่างมั่นคง ไม่เพียงในเชิงปริมาณ แต่ยังสะท้อนถึงการพัฒนาเชิงโครงสร้างที่หลากหลายและลึกขึ้น” แรงหนุนจากโครงการภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน และเงินทุนจากต่างประเทศ กำลังหล่อเลี้ยงให้ตลาดนี้ขยายตัวต่อเนื่อง
ด้วยรากฐานการพัฒนาและแรงหนุนเชิงนโยบาย อินโดนีเซียกำลังก้าวสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมก่อสร้างที่สำคัญที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
#baramizi #globalbrandreport #อินโดนีเซีย #brandvalue #globalbrand #คุณค่าของแบรนด์ #ส่งออกแบรนด์ #Branding #Brandvalue #Globalbrand #Brandmanagement #Internalbrand #Externalbrand #Brandaudit