ทำไมแบรนด์ถึงมีมูลค่ามากกว่าสินค้า ?
การพัฒนาธุรกิจในปัจจุบันนั้นนอกจาการวางแผนในการสร้างรายได้และกำไรแล้วนั้นยังต้องคิดถึงเป้าหมายการสร้างมูลค่าแบรนด์ซึ่งปัจจุบันนั้นสามารถวัดเป็นตัวเงินได้จริงและมีการซื้อ-ขาย ด้วยมูลค่าที่ประเมินด้วยตัวเลขทางบัญชีไม่ได้ทั้งหมด และมูลค่าแบรนด์ควรเป็นตัวชี้วัดใหญ่ที่สำคัญสำหรับทุกๆ องค์กร ซึ่งแนวคิดนี้ควรเป็นแนวคิดที่สำคัญในการที่ท่านจะทรานส์ฟอร์มแบรนด์ตัวเองสู่ยุคใหม่ อยากย้ำอีกทีว่าการทรานส์ฟอร์มแบรนด์ไม่ใช่แค่การทำภาพลักษณ์แบรนด์องค์กร ซึ่งการทำเพียงแค่นี้เราเรียกว่ารีแบรนด์ใหม่เท่านั้น
เรามาดูตัวอย่างตัวเลขมูลค่าแบรนด์ที่วัดออกมาในระดับสากล เช่น
Apple มูลค่า 214,480 $M ปี 2018 เพิ่มขึ้นจากปี 2017 16%
Google มูลค่า 155,506 $M ปี 2018 เพิ่มขึ้นจากปี 2017 10%
Amazon มูลค่า 100,764 $M ปี 2018 เพิ่มขึ้นจากปี 2017 56% เป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในปี
Facebook มูลค่า 45,168 $M ปี 2018 ลดลงจากปี 2017 -6 %
Nike. มูลค่า 30,120 $M ปี 2018 เพิ่มขึ้นจากปี 2017 11%
IKEA มูลค่า 17,458 $M ปี 2018 ลดลงจากปี 2017 -5 %
Netflix มูลค่า 8,111 $M ปี 2018 เพิ่มขึ้นจากปี 2017 45 %
และแบรนด์น้องใหม่ มาแรงอย่าง Spotify 5,176 $M
เหตุผลสำคัญที่แบรนด์ในยุคนี้มีมูลค่ามากนั้นก็เพราะว่าเป็นแบรนด์ที่มีแนวโน้มเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับโลกแห่งอนาคต แล้ว….
ทำไมมูลค่าแบรนด์จึงมีมูลค่ามากกว่าแค่ตัวสินค้า
1.แบรนด์มีอายุมากกว่าสินค้า : ส่วนมากกิจกรรมทางธุรกิจนั้นมักมีการออกสินค้ามาตามช่วงเวลาเพื่อเพิ่มยอดขาย และโดยมากกฎธรรมชาติของสินค้านั้นจะมีกลไกแบบ S Curve คือมีช่วงขึ้นและมีช่วงลงตามกาลเวลาและตามสถาณการณ์การแข่งขัน แต่ทุกครั้งที่ออกสินค้าเราต้องใช้แบรนด์เดิมตลอดให้คงที่และลูกค้ารับรู้ตลอดอย่างต่อเนื่อง แบรนด์เองจึงทำหน้าที่ที่สำคัญทุกครั้งในการออกสินค้าและบริการใหม่ออกมา ดังนั้นการสร้างแบรนด์ที่มีพลังแห่งคุณค่านั้นสัมพันธ์กับการสร้างยอดขายอย่างแน่นอน
2.แบรนด์มีการใช้งานมากกว่า ต่อเนื่องกว่า : ในข้อนี้จะเห็นชัดว่าแบรนด์ที่มีพลังนั้นจะดึงดูดลูกค้าได้ดีกว่า เพราะแบรนด์มักจะเป็นตัวแทนของธุรกิจที่ปรากฏ ในทุกๆ Customer Touchpoint (จุดสัมผัสแบรนด์ของลูกค้า) ลองมาดูกันนะครับว่าจริงไหมที่เราเห็นแบรนด์ในทุกๆ Touchpoint จริงๆ
- บนตัวสินค้า
- บนบรรจุภัณฑ์
- บนป้ายราคา
- บนป้ายหน้าร้าน
- บนชุดพนักงานทุกระดับ
- บนป้ายบริษัท
- บนสื่อออนไลน์ ทั้งเวปไซค์และเฟสบุ๊ค
- บนรถขนสินค้า
- บนนามบัตร
- บนโบรชัวร์และสื่อสิ่งพิมพ์
นี่แค่ยกตัวอย่างเบสิคที่ทุกธุรกิจต้องมีนะครับ จะเห็นว่าแบรนด์รายล้อมตัวลูกค้าหรือผู้พบเห็นเป็นจำนวนมากและตลอดเวลา จึงมีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้าโดยตรงเลยก็ว่าได้ครับ
3.แบรนด์สร้างคุณค่าทางจิตใจได้มากกว่าแค่ตัวสินค้า : ลองยกตัวอย่าง เราใช้สินค้าที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราอยากอวดเพื่อน อยากบอกว่าเราใช้แบรนด์นี้ และในยุคที่เรามีสื่อในมือเราเองเราก็อยากบอกต่อ แชร์ต่อแบรนด์นั้นๆให้ด้วย ข้อแตกต่างของแบรนด์ที่เน้นเพียงแค่คุณประโยชน์ของสินค้า และบริการ เช่น
- อาหารอร่อย
- บริการดี
- มีคุณประโยชน์ มีสารอาหาร มีวิตามิน…. เป็นต้น
- ใส่สบาย ปลอดภัย
สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานแบรนด์ที่ควรมี เป็นพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็น แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงพอต่อการสร้างมูลค่าแบรนด์ให้มีพลัง และไม่เพียงพอต่อการทำให้คนหลงรักแบรนด์ท่าน การที่แบรนด์ท่านจะมีคนหลงรักหลงไหล เป็นว่าที่ Super Fans นั้นท่านต้องสร้างความสัมพันธ์ในเชิงคุณค่าทางจิตใจให้ได้ครับ
4.แบรนด์ที่ดีสร้างกำไรได้มากกว่าแค่สินค้าดี
แน่นอนครับในการดำเนินธุรกิจเราควรที่จะต้องคิดถึงสินค้าที่ดีอย่างแน่นอน แต่ถ้าพูดถึงในมุมการสร้างกำไรนั้น ส่วนต่างระหว่างต้นทุนสินค้าและราคาขายคือ มูลค่าที่เพิ่มขึ้นนั้นใช้ได้กับทุก Segment ของตลาด ไม่จำเป็นที่การสร้างมูลค่าเพิ่มจะอยู่แค่เพียง Segment บนเท่านั้น หากแต่สินค้าราคาไม่แพงอย่างเช่น IKEA ก็ยังมีสัดส่วนของกำไรที่สูงถึง 46% ถึงแม้ว่าราคาสินค้าไม่แพงแต่ก็สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มหาศาลและที่สำคัญลูกค้ายอมจ่าย ผมพอจะสรุปให้ง่ายๆ ตามสมการนี้
มูลค่าเพิ่มของแบรนด์ = คุณประโยชน์ตัวสินค้า x คุณค่าทางจิตใจของลูกค้า
คุณค่าทั้งสองส่วนที่ลุกค้าได้รับนั้น หมายถึง มูลค่าทางการตลาดที่ลูกค้ายอมจ่าย และการสร้างกำไรให้กับธุรกิจก็ขึ้นกับคุณประโยชน์กับคุณค่าที่ส่งมอบไปยังลูกค้าของเรานั่นเองครับ ส่วนการสร้างคุณค่าทางจิตใจนั้นมีเทคนิคมากมายซึ่งผมบอกได้สั้นๆ ในบทนี้ก่อนว่า การสร้างเพียงภาพลักษณ์ไม่ใช่คำตอบและไม่เท่ากับการสร้างคุณค่าทางจิตใจให้ลูกค้า โดยสรุปในส่วนนี้นั้นก็คือ การทรานส์ฟอร์มแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์แบรนด์ให้มุ่งสู่การสร้างแบรนด์ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย และกลายเป็นสัญลักษณ์คุณค่าแห่งจิตใจ ของยุคสมัยเช่นเดียวกัน