ส่อง 3 บริษัทที่ประสบความสำเร็จใน Green Transformation เมื่อตลาดสีเขียวเปิดโอกาสให้ธุรกิจไปได้ไกลกว่าเดิม

จากที่หลายประเทศให้ความสำคัญกับการเป็นเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และเกิดความร่วมมือกันทั่วโลกเกิดเป็นนโยบายเพื่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ธุรกิจที่นอกจากจะต้องใส่ใจความอยู่รอดขององค์กรเลยต้องเร่งกันปรับตัวให้ใส่ใจความเป็นอยู่ของคนในสังคมและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นผ่านวิสัยทัศน์ และพันธกิจ จนกำเนิดการวิจัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นตามมา เราจึงมานำเสนอ 3 บริษัทที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transformation) ในบทความนี้

Chr. Hansen Holding

บริษัทชีววิทยาศาตร์ชั้นนำสัญชาติเดนมาร์กที่พัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีจุลินทรีย์สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร และเนื่องจากในอนาคตจากการผลิตสินค้าเกษตรที่จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากรโลก การใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงจากสารเคมีที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นตาม บริษัทจึงพัฒนานวัตกรรม NEMIX®C ทดแทน เพื่อป้องกันแมลงและโรคแล้วยังทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นด้วย

ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงเริ่มขยายตลาดเข้าสู่ตลาดเทคโนโลยีการเกษตรชีวภาพที่มีมูลค่าตลาดโลกกว่า 18.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีพ.ศ. 2569 ที่มีอัตราเติบโต 11.9% ต่อปี และก่อตั้งบริษัทในเครืออย่าง The Lighthouses ที่ได้รวมไปถึงเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อลดเศษอาหาร บริษัทจึงได้รับให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้ยั่งยืนที่สุดในโลกประจำปีพ.ศ. 2562 โดยในปีพ.ศ. 2564 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 13% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก The Lighthouses ที่เติบโตด้วยเช่นกัน

TOPSOE

บริษัทเคมีภัณฑ์ผลิตสารเร่งปฏิกิริยาสำหรับหลากหลายอุตสาหกรรมอย่าง ยานยนต์ การเกษตร และพลังงาน ปัจจุบันบริษัทได้มุ่งให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) มุ่งลดคาร์บอนรวมถึงก๊าซเรือนกระจก บริษัทจึงสร้างนวัตกรรมเพื่อพลังงานสะอาดอย่าง Power-to-X และวางแผนลงทุนสร้างโรงงานอิเล็กโทรไลเซอร์สำหรับผลิตพลังงานไฮโดรเจนขนาดใหญ่ ซึ่งมีการก๊าซเรือนกระจกได้น้อยกว่าโรงงานผลิตรูปแบบอื่น โดยพลังงานสะอาดนี้สามารถนำไปใช้ทดแทนเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่งได้มหาศาล

ปัจจุบันมูลค่าตลาดการผลิตพลังงานไฮโดรเจนโลกอยู่ 130 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ และคาดว่าจะมีอัตราเติบโตอยู่ที่ 9.2% ต่อปีจนถึงปีพ.ศ. 2573 จากที่กล่าวมานี้ยังไม่นับรวมนวัตกรรมอย่าง HydroFlex™ น้ำมันดีเซลไฮโดรคาร์บอนจากน้ำมันเหลือทิ้งและนวัตกรรมอื่น ๆ จาก Topsoe ซึ่งทำให้บริษัทถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนในระดับสูง (ESG) โดยพบว่าในปีพ.ศ. 2564 ที่ผ่านมาบริษัทก็ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ลดลงกว่า 19% หรือคิดเป็น 29,000 ตัน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

 

Primlab

บริษัทวิจัยและพัฒนาจากประเทศสเปนที่ศึกษาสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม หลังจากการพัฒนา AryCol ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพแล้ว บริษัทได้พัฒนานวัตกรรมชีวภาพใหม่อย่าง CO2pure® ซึ่งเป็นสารเติมแต่งที่เปลี่ยนก๊าซเรือนกระจก เช่น CO2 NOx และ VOx ให้กลายเป็นธาตุอื่นที่ไม่มีอันตรายและถูกเติมลงในวัสดุการผลิตอื่น ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนเปลี่ยนให้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเป็นเครื่องฟอกมลพิษ โดยถูกนำไปใช้ในแบรนด์เครื่องนอนอย่าง Kasamana และผลิตภัณฑ์สีฟอกอากาศและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของ Fraycar ซึ่งถือเป็นแบรนด์ชั้นนำของประเทศสเปนที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค

ด้วยความก้าวหน้าและโอกาสในการเติบโต Primlab จึงได้ทำการก่อตั้งแบรนด์ Wearpure.tech ที่มุ่งมั่นในการสร้างวัสดุจากการพิมพ์ 3 มิติ สู่การทอขั้นสูงซึ่งสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ หรือุตสาหกรรมการก่อสร้างและออกแบบภายใน โดยบริษัทถูกรับรองถึงความปลอดภัยต่อระบบนิเวศจากมาตรฐานการรับรอง OEKO-TEX Standard ด้วยเช่นกัน

The success for our future

อย่างที่เห็นจาก 3 บริษัทที่ได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวนี้ (Green Transformation) ยังไม่นับธุรกิจระดับโลกหลายบริษัทที่ตั้งเป้าหมายเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่ธุรกิจใหม่ที่เริ่มก่อตั้งโดยการนำมาใช้เป็นดั่งเข็มทิศของบริษัทที่ไม่เพียงจะประสบความสำเร็จแล้ว ยังสามารถขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดอื่น ๆ ได้อีกมากมาย การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนอกจากจะเป็นตัวชี้วัดถึงโอกาสในตลาด ทว่ายังแสดงให้เห็นถึงการตระหนักของการทำเพื่ออนาคตของผู้คนที่จะอาศัยอยู่บนโลกนี้ไปอีกหลายศตวรรษด้วยเช่นกัน