3 ประเด็นหลักที่ AI ที่อาจนำไปสู่ “การหดตัวของเศรษฐกิจไทย” ในวันนี้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตหลัก (Global Growth Engine) ที่ทุกประเทศกำลังทุ่มทรัพยากรเพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำหรือความได้เปรียบ ซึ่งความได้เปรียบในยุคนี้ขึ้นอยู่กับว่าประเทศนั้นๆ สามารถขยับตัวเองไปอยู่ตรงไหนใน "ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของ ธุรกิจ AI”

ในวันนี้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้รับการยอมรับว่าเป็น ตัวขับเคลื่อนการเติบโตหลัก (Global Growth Engine) ที่ทุกประเทศกำลังทุ่มทรัพยากรเพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำหรือความได้เปรียบ ซึ่งความได้เปรียบในยุคนี้ขึ้นอยู่กับว่าประเทศนั้น ๆ สามารถขยับตัวเองไปอยู่ตรงไหนใน “ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของธุรกิจ AI”

เราเห็นภาพที่ชัดเจนของประเทศในภูมิภาคนี้ที่กำลังทะยานขึ้นสู่การเป็น “ผู้สร้าง” เทคโนโลยี:
• เวียดนาม เข้าไปอยู่ในห่วงโซ่ด้าน การวิจัยและพัฒนา (R&D) และ โครงสร้างพื้นฐาน เมื่อยักษ์ใหญ่อย่าง NVIDIA เข้าไปตั้ง ศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D Center) และ Data Center AI
• มาเลเซีย กำลังก้าวสู่ห่วงโซ่ด้าน การออกแบบและทรัพย์สินทางปัญญา ด้วยการเปิดตัว ชิป AI ของประเทศตัวเอง (MARS1000)

คำถามสำคัญคือ: แล้วประเทศไทยอยู่ตรงไหนในห่วงโซ่การสร้างมูลค่าของ AI นี้?

ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยภาพความเป็นจริงที่น่ากังวลต่อธุรกิจไทยผ่านบทสัมภาษณ์ใน รายการ The Standard Wealth โดยท่านชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยกำลังสวนทางกับแนวโน้มโลก เพราะสถานะของเราคือ ผู้ซื้อ ผู้ใช้ และผู้นำเข้า เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว เราไม่ได้เป็นผู้สร้างนวัตกรรม (Innovator) การติดอยู่เพียงส่วนท้ายสุดของห่วงโซ่อุปทานนี้ กำลังสร้าง “วิกฤตเชิงโครงสร้างเฉพาะของไทยหรือประเทศที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกัน” ซึ่งหากเรายังคงใช้ AI โดยขาดการวางแผนเชิงโครงสร้าง ก็อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับความคาดหวัง นั่นคือ การหดตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP Contraction)

จากข้อมูลข้างต้น ทีม Brand Research ได้ทำการสังเคราะห์และสรุปผลกระทบเชิงกลยุทธ์ เพื่อนำเสนอถึงกับดักที่ธุรกิจไทยกำลังเผชิญ และสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องพิจารณาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับใช้เทคโนโลยี AI ในองค์กร:
1. กับดัก “ลดต้นทุน” ที่ย้อนมาทำร้ายธุรกิจไทยเอง
น่าคิดว่า… AI ช่วยลดต้นทุน สร้างกำไร หรือแท้จริงแล้ว กำลังเร่งให้เศรษฐกิจไทยอ่อนแอลงจากภายใน?
ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ตั้งธงการใช้ AI เพื่อ “ลดต้นทุน” แทนที่จะ “สร้างมูลค่าเพิ่ม” โดยมองว่า AI ทำงานเร็วกว่า ถูกกว่า แต่สิ่งที่มักไม่ถูกพูดถึงคือ “ผลข้างเคียงเชิงโครงสร้าง” ที่อาจทำให้เศรษฐกิจทั้งระบบหดตัวลง
• เงินทุนไหลออก (Capital Outflow): การซื้อบริการ AI, ชิป, และ Cloud จากต่างประเทศทำให้เกิดการสูญเสียเงินลงทุนดิจิทัลขนาดใหญ่แบบไม่รู้ตัว กลายเป็น “เศรษฐกิจเงาดิจิทัล (Shadow Digital Economy)” ที่ทำให้ประเทศขาดดุลโดยไม่ถูกรับรู้ในระบบสถิติการค้า
• กำลังซื้อภายในพังทลาย (Domestic Demand Shock): เมื่อองค์กรใช้ AI ลดคน กำลังซื้อในประเทศจะหายไปอย่างรวดเร็ว การลดต้นทุนวันนี้จึงอาจเป็นการ “ลดลูกค้าของตัวเอง” ในวันหน้า

2. การแบ่งขั้วของแรงงาน: ในยุค AI เด็กจบใหม่คือกลุ่มเสี่ยงที่สุด
ความเชื่อที่ว่าคนอายุมากจะตกงานเพราะ AI เป็นเรื่องที่ต้องทบทวนใหม่ทั้งหมด งานวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford) ชี้ให้เห็นว่า:
• กลุ่มที่เสี่ยงที่สุดคือคนวัย 22-25 ปี: กลุ่มนี้คือ เด็กจบใหม่ ในสาขาอาชีพที่ต้องทำงาน “ชิ้น ๆ ที่มีโจทย์ชัดเจน” (Defined Tasks) เช่น งานบัญชีเบื้องต้น, งานร่างเอกสารทางกฎหมาย, หรืองาน Copywriting ซึ่งเป็นงานที่ AI ทำแทนได้เกือบทั้งหมด ทำให้ความต้องการจ้างงานระดับเริ่มต้นลดลงอย่างมาก
• กลุ่ม 45+ กลับได้เปรียบ: สำหรับคนที่มี ประสบการณ์, ดุลยพินิจ, และทักษะการวางยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อน AI คือ “Super Power” ที่เข้ามาเสริมให้พวกเขามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมหาศาล The Economist ยังได้รายงานถึงเทรนด์ “One-Man Startup” ที่ผู้บริหารใช้ AI เป็นลูกน้องทั้งหมด

3. ทางรอดระยะยาว: สร้างคนแทนที่จะหาทางลัด
• ความจริงที่เจ็บปวด: เราขาด AI Engineer และ โปรแกรมเมอร์ ในจำนวนหลัก “แสนคน” ที่จะสร้างอุตสาหกรรมเทคขึ้นมารองรับการเติบโตและการลงทุนจากต่างชาติ
• เปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน: ในขณะที่มาเลเซียตั้งเป้าผลิตบัณฑิตสายวิทย์-คณิตที่ 50-60% และเวียดนามมีคะแนน PISA สูงโดดเด่น ประเทศไทยกลับมีสัดส่วนบัณฑิตสายนี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
• การปฏิรูปที่ต้องใช้เวลา: ทางรอดของประเทศไม่ใช่การหานโยบาย Quick Win แต่คือการ “ผ่าตัดระบบการศึกษา” ตั้งแต่ระดับประถมเพื่อสร้าง ตรรกะและไหวพริบ ซึ่งเป็นนโยบายที่ต้องใช้เวลา 10-20 ปี และจะเห็นผลในรุ่นลูกหลาน

IMF คาดการณ์ว่าในปี 2030 เศรษฐกิจขนาดใหญ่ 4 ใน 5 อันดับแรกของโลกจะอยู่ในเอเชีย แต่หากไทยยังขาด Talent Supply Chain ของตนเอง การแก้ไขปัญหาความได้เปรียบในการแข่งขันด้าน AI ในระยะยาวก็ต้องมาจากการลงทุนในคน และการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาอย่างจริงจัง มิฉะนั้น ประเทศไทยก็จะยังคงเป็นแค่ผู้ซื้อใช้ AI และเป็นประเทศที่เงินไหลออกต่อไป

AI จะไม่ทำลายเศรษฐกิจไทย ถ้าเรามีบทบาทอยู่ในห่วงโซ่การสร้างมูลค่า แต่ถ้าเรายังคงเป็นแค่ “ผู้ซื้อเทคโนโลยี” ประเทศก็จะติดอยู่ในกับดักที่ตัวเองสร้าง และเผชิญกับ “วิกฤตเชิงโครงสร้างเฉพาะของไทย” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

#ai #Baramizi #Branding #Thailand #Economy