แบรนด์ที่แข็งแรงจริงต้องเกี่ยวกับเรื่อง “คน” ครับ
ในช่วงแบรนด์และธุรกิจที่เข้าสู่ช่วง Stable Stage ( ช่วงทำให้มั่นคง )
 คุณลักษณะในช่วงนี้ : เป็นช่วงที่แบรนด์และองค์กรธุรกิจมีความพร้อมทั้งการสร้างความแตกต่างของแบรนด์ มีสาวกแบรนด์ในระดับหนึ่ง และมีสินค้าและบริการที่สร้างยอดขายและมีทีมงานในระดับหนึ่งที่พร้อมในการขยายให้เติบโตด้วยระบบแล้วเมื่อแบรนด์ท่านอยู่ในช่วงทำให้มั่นคง ท่านควรบริหารแบรนด์ด้วยการเน้นเรื่องอะไร ? เรามาดูกันครับ
ปัญหาในช่วงนี้ : ปัญหาในช่วงธุรกิจระดับนี้นับเป็นความท้าทายอย่างมากของตัวเจ้าของหรือผู้ก่อตั้งเองเพราะเป็นช่วงที่ต้นทุนการจัดการสูง ซึ่งถ้าการบริหารทำได้ไม่ถูกจุดหรือลงทุนผิดจุด นอกจากจะไม่เติบโตขึ้นแล้วยังทำให้กระแสเงินสดอาจจะมีปัญหาได้ ในทางตรงกันข้ามถ้ากลยุทธ์ถูกจุดก็จะสามารถแก้ปัญหาและสร้างการเติบโตต่อไปได้
การเติบโตไม่ได้อาศัยแค่ตัวเราในการขยายและขับเคลื่อนองค์กรแต่เราจะต้องขยายจากด้วยระบบ, การจัดการ, ระบบงานด้านบุคลากร ที่สำคัญการขับเคลื่อนด้วยวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งปัญหาที่องค์กรเผชิญคือเรื่องใหม่ที่เราไม่ชิน และ โดยมากไม่คิดว่าเรื่องเหล่านี้สำคัญ หลายๆ องค์กรต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการที่พนักงานทำงานแบบพวกใคร พวกมัน ไม่มีการมองไปถึงการขับเคลื่อนด้วยพันธกิจของแบรนด์ทำให้การตัดสินใจมักเป็นแค่เรื่องตรงหน้า ไม่สามารถใช้พลังของทุกๆ ทีมพาองค์กรให้เติบโตขึ้นไปได้
กลยุทธ์สำคัญในช่วงนี้ : Employee Branding ทำให้พนักงานกลายเป็นแบรนด์ คือต้องมองการวางแผนในการสร้างโครงสร้างองค์กรและวัฒนธรรมองค์กรในระยะยาว ผ่านระบบงานการบริหารงานบุคคล สิ่งที่จะสามารถเชื่อมโยงการออกแบบโครงสร้างองค์กรและวัฒนธรรมองค์กรได้ คือ กลยุทธ์แบรนด์ ครับ การที่แบรนด์เรามีกลยุทธ์ที่ชัดเจน มีคู่มือแบรนด์ (Brand Manual Policy) จะทำให้การคัดกรอง และ พัฒนาพนักงานมีทิศทางเดียวกับแบรนด์ โดยการสร้างให้พนักงานกลายเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์นั้น ทำให้การผลักดันไปสู่วิสัยทัศน์แบรนด์นั้นเป็นจริงได้ และทำให้ต้นทุนการจัดการของเราควบคุมได้ดีกว่า สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การขับเคลื่อนแบรนด์องค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นระบบ ไม่พึ่งแค่ตัวบุคคล ด้วยการพัฒนาระบบการจัดการเรื่องของทรัพยากรบุคคล ทั้งส่วน HRM (Human Resource Management) และ HRD (Human Resource Develpment) ลักษณะนี้ขึ้นมาจึงสามารถสร้างการเติบโตต่อไปได้ สำหรับการเติบโตในช่วงนี้เป็นจุดที่ท้าทายและเป็นธรรมชาติของทุกๆ แบรนด์ที่ต้องผ่านไปให้ได้ ทั้งนี้เพื่อการขยายธุรกิจอย่างมั่นคงต่อไป ต่อไปนี้คือตัวอย่างการสร้าง Employee Branding ที่ประสบความสำเร็จ

1. Starbucks – “Partners, Not Employees”
แนวคิด: Starbucks เรียกพนักงานว่า “Partner” (หุ้นส่วน)
 เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของแบรนด์และภาคภูมิใจในงานที่ทำ
 วิธีการ:
 • ให้สิทธิ์ถือหุ้นในบริษัท (Stock Options)
 • สร้างวัฒนธรรม “Warm & Welcoming” ที่ทุกคนต้องแสดงออก
 • ฝึกอบรมพนักงานให้ “ใส่ใจลูกค้าเหมือนเพื่อน”
 ผลลัพธ์: ลูกค้ารู้สึกถึงบรรยากาศอบอุ่นและบริการที่จริงใจในชีวิตจริง

2. Apple – “Think Different Starts with Us”
 แนวคิด: พนักงาน Apple ทุกคนต้อง “เป็นตัวแทนของนวัตกรรม”
 ไม่ใช่แค่ขายสินค้า แต่ต้อง “ถ่ายทอดประสบการณ์ Apple”
 วิธีการ:
 • ฝึกพนักงานให้เป็น “Brand Ambassador” ที่เข้าใจ Product Philosophy
 • ใช้ระบบ “Genius Bar” เพื่อให้บริการอย่างผู้เชี่ยวชาญ
 • ทุกการสื่อสารต้องสะท้อนความเรียบง่ายและสมบูรณ์แบบของแบรนด์
 ผลลัพธ์: ลูกค้ารับรู้ว่า “Apple Store” คือพื้นที่ของแบรนด์ที่คนภายในสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมของแบรนด์ได้อย่างแท้จริง

3. Nike – “Just Do It” in Culture
 แนวคิด: ไม่ใช่แค่สโลแกน แต่เป็น “วัฒนธรรมองค์กร”
 พนักงาน Nike ถูกปลูกฝังให้ มีความกล้า ลงมือ และรักกีฬา เหมือนลูกค้า
 วิธีการ:
 • สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ Active และเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ
 • ทุกกิจกรรมภายในสะท้อนแบรนด์ เช่น กิจกรรมกีฬา, Hackathon
 • ใช้เรื่องราวของ Athlete ภายในองค์กรเป็นแรงผลักดัน
 ผลลัพธ์: คนทำงานรู้สึกว่า “ตนเองคือนักกีฬาในทีม Nike” — ไม่ใช่พนักงานทั่วไป

4. Walt Disney – “Cast Members Create the Magic”
 แนวคิดหลัก (Core Idea) “พนักงานทุกคนคือ Cast Member ไม่ใช่แค่คนทำงาน แต่คือผู้สร้างเวทมนตร์ (Magic Maker)”
 Disney ไม่ใช้คำว่า “Staff” หรือ “Employee” แต่เรียกทุกคนว่า Cast Member เพื่อให้รู้สึกว่า
 “เราเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง ความฝัน และเรื่องราวของ Disney”
สิ่งที่ Disney ทำจริง (Employee Branding Practices)
 1.สื่อสารผ่าน Storytelling ภายใน
 ◦ ทุกคนได้รับการฝึกว่า “Disney คืออะไร”
 ◦ เข้าใจ Vision ของ Walt Disney ว่า “To Create Happiness Through Magical Experiences.”
 ◦ ใช้การเล่าเรื่อง (Storytelling) ให้พนักงานรู้ว่าทุกหน้าที่มีความหมายต่อ “Magic” ทั้งหมด
 2.วัฒนธรรมการเป็น “นักแสดง”
 ◦ การทำงานทุกตำแหน่ง = “การแสดงบนเวที” เช่น พนักงานทำความสะอาดก็เรียกว่า “Stage Custodian”
 ◦ พนักงานต้อง “Stay in Character” ตลอดเวลาที่อยู่ต่อหน้าลูกค้า (เหมือนอยู่ในโลกแห่ง Disney ตลอดเวลา)
 3.การฝึกอบรมที่เข้มข้นจาก “Disney University”
 ◦ โรงเรียนภายในองค์กรที่สอนทั้งทักษะและจิตวิญญาณของแบรนด์
 ◦ สอนเรื่อง “การบริการแบบ Disney” (Disney Service Basics) ที่เน้นการยิ้ม การทักทาย การมองตา และการสร้างช่วงเวลาพิเศษ (Magical Moment)
 4.การยกย่องพนักงานเป็น “ผู้สร้างความสุข”
 ◦ มีระบบ “Recognitions & Celebrations”
 ◦ เช่น “Spirit of Disney Award” สำหรับผู้ที่สร้างประสบการณ์วิเศษให้แขก
 ◦ ทุกความสำเร็จของพนักงานจะถูกเล่าเป็นเรื่องราวในองค์กร
ผลลัพธ์ > กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มี Employee Engagement สูงที่สุดในโลก
 • พนักงานรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ “สร้างความสุข”
 • ลูกค้ารับรู้ได้ถึงพลังบวก ความอบอุ่น และความตั้งใจจากทุก interaction
วันนี้แบรนด์ไทยต้องการก้าวสู่โกลบอลแบรนด์ กลไกที่สำคัญคือเรื่องการสร้างให้พนักงานกลายเป็นตัวแทนของแบรนด์ที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังของแบรนด์ เราจึงจะสามารถขยายแบรนด์ได้อย่างเข้มแข็งต่อไปในตลาดโลกครับ
บทความโดย : จุลเกียรติ สินชัยชูเกียรติ (CEO & Founder of Baramizi Innovative Group)
#EmployeeBranding #Employee #Branding #Baramizi #Globalbrand #Brandtransform
 